หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถกับ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ได้เดินทางเข้ามาที่กรุงเทพฯ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงทราบข่าว ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินไปที่วัดบวรนิเวศวิหาร
เพื่อกราบนมัสการทันที
พระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันฐานและพระราชปุจฉาวิสัชนาธรรมกับหลวงปู่ฝั้น ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ท่านอาจารย์มากรุงเทพฯ รู้สึกเหนื่อยไหม?
หลวงปู่ฝั้น : ขอถวายพระพร อาตมาถือเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องได้เคยฝึกมาสมัยออกปฏิบัติครั้งแรกไม่มีรถยนต์
มีแต่เดินด้วยเท้า ขอถวายพระพร
สมเด็จพระนางเจ้าฯ:คนทุกวันนี้เข้าใจว่าตายแล้วไม่เกิดถ้าคนตายแล้วไม่เกิดทำไมมนุษย์จึงเกิดกันมาก?
หากเดียรัจฉานเขาพัฒนาตนเอง จะถึงขั้นเกิดเป็นมนุษย์ได้ไหม ?
หลวงปู่ฝั้น : ได้.. เกี่ยวกับจิตใจ ใจคนมีหลายนัย ตัวเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นสัตว์ ตัวเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นเปรต
ตัวเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นนรก ตัวเป็นมนุษย์ใจเป็นมนุษย์หรือเทวดาเป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้า ก็มาจากคน
จะรู้ได้อย่างไร ให้นั่งพิจารณาดูที่ใจ ไม่อยู่ คิดโน่นคิดนี่นั่นแหละเรียกว่า มันไปต่อภพต่อชาติที่ว่าเกิดถ้าตายก็ไปเกิดตามบุญตามบาปที่ทำไว้
เป็นเปรต คือ ใจที่มีโมโห โทโส ริษยา พยาบาท
ใจนรก คือ ใจทุกข์ กลุ้มอกกลุ้มใจ
ใจเป็นมนุษย์ คือ ใจที่มีศีล ๕ มีทาน มีภาวนา
ใจเป็นเศรษฐี ท้าวพระยา มหากษัตริย์ คือ ใจดี
ใจเป็นเทวดา คือ มีเทวธรรม มีหิริความละอายบาป โอตตัปปะความเกรงกลัวบาปน้อยหนึ่งไม่อยากกระทำ
ใจเป็นพรหม มีพรหมวิหารธรรม
ใจว่างเหมือนอากาศ ใจพระอรหันต์ คือ ท่านพิจารณาความว่างนั้นจนรู้เท่า แล้วปล่อย เหลือแต่รู้
ใจพระพุทธเจ้า รู้แจ้งแทงตลอดหมดทุกอย่าง