ariyasong.com

 

หลวงปู่หา สุภโร วัดสักกะวัน กาฬสินธุ์ สนทนากับลูกศิษย์เรื่อง "ทำบุญแล้วทำไมยังทุกข์ "         

โยม. หลวงปู่ครับเวลาผมทำความดีแล้วทำไมทุกข์ ไหนว่าทำบุญแล้วสุขล่ะครับผม

หลวงปู่.แล้วทำไมคุณถึงทุกข์ล่ะ

โยม.เวลาผมทำบุญหรือทำความดีแล้วผมก็สบายใจดีอยู่หรอกครับ แต่เวลาโดนคนเขานินทาเรื่องที่ผมทำทีไรก็อดทุกข์ไม่ได้

หลวงปู่. คุณมีใครบ้างไม่โดนนินทา

โยม.ไม่มีครับผม

หลวงปู่.คนทำดีหรือทำชั่วเขาถูกนินทาไหม

โยม.ถูกเหมือนกันครับผม

หลวงปู่.เราจะทำดีหรือทำชั่วก็โดนนินทาทั้งนั้น ขนาดผมยังโดนเลย เขาไม่นินทาเรื่องดีก็นินทาเรื่องไม่ดี แสดงว่าเราล้วนโดนทั้งหมดให้ทำใจเหมือนพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออกโคจรข้ามท้องฟ้าไปตกทางตะวันตกทุกวัน บางคนชอบ บางไม่ชอบ คนตากผ้าชอบ คนทำงานกลางแดดไม่ชอบ เวลาฝนตกคนทำนาชอบ คนตากผ้าไม่ชอบ พระอาทิตย์ก็ยังโคจรไปตรงตามหน้าที่ ไม่เห็นพระอาทิตย์หมดกำลังแล้วเลิกโคจรไป คุณทำความดีน่ะมันดีแล้ว เป็นเรื่องน่าอนุโมทนา แต่ให้คุณทำใจให้เหมือนพระอาทิตย์   ใครจะว่าหรือจะชมก็ยังทำหน้าที่ของตนเสมอไม่หยุดหย่อน เข้าใจนะ


                                                                               เมื่อหลวงปู่ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก  ปกติเมื่อมีกิจที่หลวงปู่ท่านจะเดินทาง ท่านมักเดินทางด้วยรถตู้ ซึ่งมีโยมอุปฐากดูแลค่า

ใช้จ่ายตลอดการเดินทาง มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อองค์ท่านมาจำพรรษาที่กรุงเทพฯและมีเหตุด่วนต้องเดินทางกลับไปธุระที่วัดสักกะวัน ทางคณะศิษย์และคณะอุปฐากก็เริ่ม มีการวางแผนการเดินทางของหลวงปู่ คณะอุปฐากขอนิมนต์องค์ท่านขึ้นเครื่องบิน ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากถนอมสังขารองค์ท่านเพราะต้องเดินทางไปกลับในฤดูพรรษาซึ่งต้องอยู่ในระยะสัตตาหะ (คือหากมีเหตุจำเป็นที่จะต้องเดินทางในพรรษาต้องรีบกลับมาก่อนครบ ๗ วัน) และการนี้ได้รับ ความอุปถัมภ์ค่าเครื่องบินโดย คุณมงคล คงสุขจิระ อุปฐากผู้เปรียบบุตรบุญธรรมของหลวงปู่ แต่คณะศิษย์อยากให้หลวงปู่เดินทางโดยรถตู้ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากถนอมสังขารหลวงปู่ กลัวความดันในหู กลัวความดันหลวงปู่ กลัวไปหมดจนเกิดการทุ่มเถียงและมีปากเสียงกันลับหลังองค์ท่าน หลวงปู่จึงปรารภกับอุปฐากของท่านในคืนก่อนการเดินทาง ๑ อาทิตย์

หลวงปู่ : ได้ยินว่าพวกคุณ เถียงกันเรื่องผมติ

ครูบา : ขอโอกาสองค์พ่อแม่ เปล่าครับผม แค่ยังไม่ลงตัวเรื่องการเดินทางในอาทิตย์หน้า และไม่ลงตัวเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพองค์พ่อแม่ครับผม

หลวงปู่ : กลัวทำไม ขนาดผมยังไม่กลัวเลย แล้วพวกคุณจะมากลัวแทนผมทำไม

ครูบา : ขอโอกาสครับผมคือกลัวว่าการเดินทางจะ....

หลวงปู่ :  คุณเอ้ย อย่าทำให้มีปัญหาเลย ตัวผมนั้นอะไรก็ได้ ถ้าคุณคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นปัญหา มันก็เป็นปัญหา ปัญหามันจะใหญ่หรือเล็กมันขึ้นอยู่กับว่า เราให้ความสำคัญมันแค่ไหน ถ้าคุณไม่ไปหมกมุ่นไม่เอาใจไปฝักใฝ่กับมันมาก ตั้งสติขึ้นมา คุณจะเห็นทางออกของปัญหา ขณะที่คุณประสบกับปัญหาอยู่ คุณก็เห็นว่ามันใหญ่ แต่ถ้าคุณผ่านมั นไปแล้วคุณก็จะเห็นว่าเล็กนิดเดียว  คุณต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ปัญหามันจะเข้ามาหาคุณเรื่อยๆ ยิ่งโตขึ้นปัญหามันก็เพิ่มมากขึ้น ยิ่งยากมากขึ้น ถ้าคุณแก้ปัญหายากๆผ่านพ้นไปได้ก็แสดงว่าคุณกำลังโตขึ้นไปอีก อย่าให้ผงเล็กที่เข้าตาแล้วมันบังตาจนเห็นว่ามันใหญ่  ที่จริงมันใหญ่เพราะคุณเอาออกเองไม่ได้ ให้วางใจในปัญหานะ ตั้งสติขึ้นนะ อย่าไปคิดว่ามันไม่มีทางออก เตรียมใจไว้รับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเถอะ เมื่อคุณพบมันก็จงบอกตัวเองว่า มันเล็กนิดเดียวแล้วไปบอกหมู่บอกคณะว่า  ในเมื่อโยมเขามีศรัทธาถวายค่าเครื่องมาแล้วก็ฉลองศรัทธาเขาเถอะ อย่าให้ศรัทธาเขาตก อย่าให้เขาเสียใจเลย เข้าใจนะ


 อาจารย์ ; หลวงปู่ครับ พระพุทธเจ้าทรงตรัสในกาลามสูตร ในสิ่งไม่ควรเชื่อ ๑๐ อย่าง ท่านให้พิสูจน์ทดลองก่อน จึงเชื่อผมไม่เห็นด้วย  ถ้าอย่างนั้นเราอยากรู้ว่าตายแล้วไปไหน ไม่ต้องพิสูจน์ด้วยการตายก่อนหรือครับถึงจะทราบ

หลวงปู่ ; คุณมาจากไหน

อาจารย์ ; ร้อยเอ็ด ครับผม

หลวงปู่ ; ถ้าคนกาฬสินธุ์ เขามีพิธีกรรมบางอย่าง ที่คนร้อยเอ็ดไม่มี ไม่ทำ คุณว่าคนกาฬสินธุ์ของงมงาย เขาทำถูกหรือทำผิด

อาจารย์ ; ไม่งมงายไม่ผิดครับผมหลวงปู่ เพราะคนกาฬสินธุ์ก็คือคนกาฬสินธุ์ จะเอาคนความคิดคนร้อยเอ็ดมาตัดสินคนกาฬสินธ์ุไม่ได้ครับผม

หลวงปู่ ; เออ ตอบคำถามสมกับเป็นครูคน ก็ในเมื่อเอาคนร้อยเอ็ดมาตัดสินความเป็นคนกาฬสินธุ์ไม่ได้ ก็เอาคนกาลามะมาตัดสินคนไทยไม่ได้เหมือนกัน คนที่ศึกษาแต่ข้อความทั้ง๑๐ แล้วไม่ได้ดูที่ไปที่มาของเรื่องเลย จะสรุปว่าข้อความทั้ง๑๐ คือทั้งหมดไม่ได้ คนกาลามะเป็นคนหัวอ่อนเชื่อง่าย ใครสอนอะไร บอกอะไรเชื่อหมด ไม่ไตร่ตรองเสียก่อน พระองค์ท่านจึงให้ข้อตัดสินความเชื่อไว้อย่างนั้น ก็ในเมื่อเราไม่ได้มีจริตนิสัยเป็นอย่างนั้นเราจะเอามาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ ศาสนธรรมคำสอนพระองค์เจ้า มี๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ คุณอย่าเอามาใช้ทั้งหมด สมัยก่อนพระองค์เทศน์สอนใคร เทศน์เรื่องเดียว อย่างเดียวคนนั้นก็บรรลุธรรม คนทุกวันนี้ชอบแบกคัมภีร์แบกธรรม แบกจนหนักโดยไม่รู้ตัว มัววุ่นอยู่แต่กับหนังสือกับข้อความ รับมาก ฟังมาก แบกมาก หนักมาก เลยเอาหนังสือ เอาคัมภีร์มาข้อง มาคา มาติดมาขัด ไปไหนก็ไม่ได้ มันติดคัมภีร์ มันติดความรู้ ความรู้ที่รู้เพื่อหนักสมอง รกสมอง ใช้ประโยชน์ไม่ได้ สังเกตไหมว่า คนในสมัยพระพุทธเจ้า เขาปฏิบัติอย่างเดียว เอาธรรมตัวเดียว สิงคาลมาณพ เอาทิศ ๖ หลวงพ่อโมคคัลลา เอาความง่วง หลวงพ่อพาหิยะ       ฟังธรรมสั้นๆ หลวงพ่อ นาลกะ เอาโมเนยยะ ท่านเหล่านี้ไม่ต้องแบกคัมภีร์ ไม่ต้องแบกความรู้ที่รกสมอง

 

พระองค์เจ้าเป็นสัพพัญญูเป็นผู้รู้แจ้งนะ สัพพัญญูไม่ได้แปลว่ารู้ทุกเรื่อง เรื่องไม่เป็นประโยชน์ ท่านก็ไม่รู้ บางเรื่องรู้แล้วมันทุกข์ อย่ารู้เสียดีกว่าทุกวันนี้มันมีแต่ประเภท " รู้ไปหมด แต่มันอดไม่ได้ รู้ไปทั่ว แต่เอาตัวไม่รอด" เลือกเอาธรรมที่เป็นตัวเรา เข้าจริต นิสัยเรามาปฏิบัติ ไม่ใช่มีแต่แบกแต่ขน ขนไปหมดจนไม่รู้จะใช้ได้หรือไม่ อย่าเอาคนอื่นมาเป็นมาวัดกับเรานะ เรากับเขามันคนละคน การปฏิบัติตามธรรมเป็นเรื่องส่วนตัว ของใครของมัน อย่าเอามาอวดมาอ้างกัน อย่าเอาเขามาทำให้เราทุกข์ เหมือนคุณที่ทุกข์กับคนกาลามะ ส่วนการพิสูจน์ชีวิตหลังความตายนั้น โลกคนตายเป็นโลกทิพย์ อยากเห็นโลกทิพย์ต้องมีตาทิพย์ อยากได้ยินเสียงทิพย์ต้องมีหูทิพย์ อยากไปโลกทิพย์ต้องมีกายทิพย์ การมีกายทิพย์ เกิดจากการปฏิบัติ พากเพียรภาวนาและการตาย มันมีวิธีอื่นนอกจากการตาย แล้วแต่คุณจะเลือกหรอก

                                                                            

Visitors: 54,865