หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

                          

 

แรงกรรม!! เรื่องเล่าจาก "หลวงตามหาบัว" เมื่อมีคนมาขวางทาง "หลวงปู่มั่น" บิณฑบาต กรรมตามทัน..เป็นบ้าทั้งครอบครัว !!

มีเรื่องหนึ่งที่องค์หลวงตา (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) เล่าไว้แต่ไม่ได้บอกว่าเกิดขึ้นหมู่บ้านใด เรื่องเกิดขึ้นในตอนเช้า        ขณะหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เดินบิณฑบาตผ่านทุ่งนาของเขา แต่เจ้าของไม่ต้องการให้ท่านเหยียบผ่านคันนาของเขาไป ดังนี้

เขาว่าทำคันนาเขาเสียหาย เขาก็เอาขี้ไปราดตามคันนาไว้ ไม่ให้ท่านเดินผ่านมาบิณฑบาตที่นั่น เขาโกรธเคียดให้ท่าน            สำหรับท่านเฉยอยู่ท่านไม่สนใจล่ะ แล้วสุดท้ายในที่สุดคนพวกนี้ก็เลยกลายเป็นคนบ้ากันทั้งครอบครัว มันช่างเป็นไปต่างๆนานา    ไม่เป็นบ้าก็เป็นใบ้ ที่เป็นหมดทั้งครอบครัวเพราะพวกนี้ก็พลอยยินดีในเรื่องนี้ไปด้วย แต่คนที่ลงมือทำเป็นพ่อ พอพ่อแม่ครูจารย์มั่นออกมาบิณฑบาต ท่านจึงเหยียบขี้ที่เขาเทลาดไว้เปรอะเปื้อนเท้าไปหมด เมื่อเป็นดังนั้นพวกคนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกันคงจะดีใจพลอยยินดีไปด้วย คือสมรู้ร่วมคิดเป็นใจ แล้วกรรมส่งผลให้เป็นบ้า ผู้เฒ่าหัวหน้าครอบครัวก็เป็นบ้าแล้วลูกเต้าเกิดมาเป็นบ้าก็มี                                                                                    เป็นใบ้ก็มี คนดีๆหาไม่ค่อยมีในบ้านนั้น เป็นกันอยู่อย่างนั้น จนชาวบ้านเขาลือกันว่าเป็นเพราะทำกรรมกับท่าน

                                                                          ตั้งแต่นั้นมาไม่มีจะกิน ยากจน คนเขาชี้หน้าด่าทอกันหมดทั้งหมู่บ้าน เพราะใครๆ เขาก็รู้กันทั้งหมู่บ้านว่าทำกรรมอันน่าทุเรศกับ                                                                                    ท่านอย่างนั้น  เวลากรรมบันดลบันดาลมันให้ผล  มันเป็นให้โลกเขาเห็นทั้งบ้านทั้งเมืองเหมือนกัน นี่แหละที่เรียกว่ากรรมตามทัน

                                                                          ขอบคุณข้อมูลจาก : เพจ พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต                                                                                                                              อ้างอิงจาก : หนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ ,                                                                                                                                                      เรียบเรียงจากเทศนาธรรมของท่านอาจารย์พระมหาบัว  ญาณสัมปันโน ,                                                                                                                    หัวข้ออุปัฏฐากพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่น หน้า ๒๐๑  เรียบเรียงโดย : เสาวลักษณ์ แสงสุวรรณ 

 

                                          เรื่องจริงจากหลวงตามหาบัว เมื่อ “หลวงปู่มั่น” พบกับ”พระพุทธเจ้า”ในคืนบรรลุอรหันต์!!

                    ใครที่เคยอ่านหนังสือชีวประวัติของ “หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต” ฉบับที่เล่าโดยสำนวนของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนคงจะจำเรื่องราวบางอย่างในหนังสือเล่มนั้นกันได้                               ในที่นั้นหลวงตามหาบัวได้เล่าถึงประสบการณ์การเข้าถึงพระนิพพานของหลวงปู่มั่น สิ่งที่หลวงตามหาบัวได้บรรยายเอาไว้นั้นนับว่าเป็นที่ท้ายทายความเชื่อเรื่อง                                        “นิพพาน” ตามแบบจารีตเป็นอย่างยิ่ง สำนวนเล่าของ หลวงตามหาบัวได้ให้รายละเอียดมากมายเกี่ยวกับ“สภาวะจิต”ของหลวงปู่มั่นในช่วงที่กำลังจะข้ามพ้นไปสู่ภูมิ                                   แห่ง “โลกุตตระ” รวมทั้งเหตุการณ์อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาหลังจากค่ำคืนแห่งการรู้แจ้ง

                   “ท่านพระอาจารย์มั่นมีนิสัยผาดโผนมาดั้งเดิมนับแต่เริ่มปฏิบัติใหม่ๆ แม้ขณะจิตจะเข้าถึงจุดอันเป็นวาระสุดท้ายก็ยังแสดงลวดลายให้องค์ท่านเองระลึกอยู่ไม่ลืม                                           ถึงกับได้นำมาเล่าให้บรรดาลูกศิษย์ฟังพอเป็นขวัญใจ คือ พอจิตพลิกคว่ำวัฏจักรออกจากใจโดยสิ้นเชิงแล้ว ยังแสดงขณะเป็นลักษณะฉวัดเฉวียนเวียนรอบตัววิวัฏฏจิต                              ถึงสามรอบ

                       รอบที่หนึ่งสิ้นสุดลง แสดงบทบาลีขึ้นมาว่า “โลโป” บอกความหมายขึ้นมาพร้อมว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้นคือการลบสมมุติทั้งสิ้นออกจากใจ                                           รอบที่สองสิ้นสุดลง แสดงคำบาลีขึ้นมาว่า “วิมุตติ” บอกความหมายว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้นคือความหลุดพ้นอย่างตายตัว                                                                         รอบที่สามสิ้นสุดลง แสดงคำบาลีขึ้นมาว่า “อนาลโย” บอกความหมายขึ้นมาว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้นคือการตัดความอาลัยอาวรณ์โดยสิ้นเชิง                                         นี่คือธรรมที่แสดงในจิตท่านขณะแสดงลวดลายเป็นขณะสามรอบจบลง อันเป็นวาระสุดท้ายแห่งสมมุติกับวิมุตติทำหน้าที่ต่อกันและแยกทางกันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา                     

                       เมื่อหลวงปู่มั่นทำลายสังสารวัฏลงได้อย่างเด็ดขาดแล้ว ท่านก็ยังเล่าต่อไปอีกว่า ขณะนั้นเหมือนโลกธาตุทั้งมวลบังเกิดความเลื่อนลั่นหวั่นไหว เทวบุตรและเทวธิดาทั่ว                             ทั้งหมดนั้นต่างก็ประกาศก้องสาธุการ  เสียงสะเทือนสะท้านไปทั่วทั้งจักรวาล ทั้งในคืนนั้นและคืนถัดมา เหล่าเทพทั้งหลายต่างก็มาปรากฏกายเพื่อขอเยี่ยมคารวะและ                               ฟังธรรมเทศนา

               “… ในคืนวันนั้น ชาวเทพทั้งหลายทั้งเบื้องบนชั้นต่างๆ ทั้งเบื้องล่างทุกสารทิศทุกทาง หลังจากพร้อมกันให้สาธุการประสานเสียงสำเนียงไพเราะเสนาะโสตจนสะเทือน                                    โลกธาตุเพื่อประกาศอนุโมทนากับท่านแล้ว ยังพร้อมกันมาเยี่ยมฟังธรรมจากท่านอีกวาระหนึ่ง แต่ท่านไม่มีเวลารับแขกเพราะภารกิจเกี่ยวกับธรรมขั้นสูงสุดยังไม่ยุติลง                               เป็นปกติ …

              … ในคืนต่อมา ชาวเทพทั้งหลายที่มีความหิวกระหายในธรรมได้พากันมาเยี่ยมท่านเป็นพวกๆ ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างแทบทุกทิศทาง ต่างพวกก็มาเล่าความอัศจรรย์แห่งรัศมี                            และอานุภาพแห่งธรรมของคืนวันนั้นให้ท่านฟังว่า เหมือนสวรรค์วิมาน พิภพ ครุฑ นาค เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ทุกชั้นภูมิในแดนโลกธาตุสะเทือนสะท้านหวั่นไหว                              ไปตามๆ กัน พร้อมกับความอัศจรรย์ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนส่งแสงสว่างไปทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีอะไรปิดบัง เพราะความสว่างไสวแห่งธรรมที่พุ่งออกมาจากกายจากใจของ                              พระคุณเจ้ายิ่งกว่าความสว่างของดวงอาทิตย์ร้อยดวงพันดวงเป็นไหนๆ …”

                     หลังจากเหตุการณ์ที่เทพทั้งหลายแวะเวียนกันเข้ามาเปล่งสาธุการและขอฟังธรรมเทศนาจากหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงตามหาบัวก็ยังเล่าถึงอีกเหตุการณ์หนึ่งเป็นกรณี                                     พิเศษด้วย เหตุการณ์ที่ว่านี้ก็คือ ผู้ที่เป็น “คู่บารมี” ของหลวงปู่มั่นทุกภพทุกชาติได้เดินทางมาพบท่านหลังจากที่บรรลุธรรมแล้ว หลวงปู่มั่นเล่าให้หลวงตามหาบัวฟังถึง                            “คู่บารมี” ท่านนี้ว่า ตั้งแต่สมัยที่ภูมิธรรมของท่านยังไม่ถึงระดับพระอรหันต์ “คู่บารมี” นี้ได้แวะมาเยี่ยมท่านทางสมาธิภาวนาเสมอ แต่ก็มาในรูปของ“ดวงวิญญาณ                                         ไม่ปรากฏร่างกายให้เห็นเหมือนกับที่ภพภูมิอื่นๆ เขาเป็นกัน

                      เมื่อหลวงปู่มั่นถาม ดวงวิญญาณนั้นก็ตอบว่า ที่ยังไม่ได้ไปเกิดในภพภูมิที่เป็นหลักแหล่ง เช่น โลกมนุษย์หรือแดนสวรรค์ แต่ยังคงวนเวียนอยู่ใน “ภพย่อย” ที่ละเอียด                                  ภพหนึ่งในระหว่างภพทั้งหลาย ก็เพราะว่ายังเป็นห่วงและอาลัยในตัวหลวงปู่มั่นอยู่ อีกทั้งยังกลัวว่าท่านจะหลงลืมความสัมพันธ์แต่หนหลังและความปรารถนา“พุทธภูมิ”                            ที่เคยตั้งไว้ร่วมกัน ประหนึ่งเป็น “คำสัญญา” ที่เคยมีต่อกันมานานแสนนานในสังสารวัฏอันไกลโพ้นนี้ (ซึ่งหลวงปู่มั่นก็บอกว่า บัดนี้ท่านได้ของดความปรารถนาใน                                       พุทธภูมิแล้ว และขอมุ่งมั่นปฏิบัติตนเพื่อพ้นทุกข์ให้ได้ในชาตินี้)

                      หลวงปู่มั่นเล่าว่า ยามใดที่ดวงวิญญาณนี้มาพบ ท่านก็แสดงธรรมให้พอสมควร แล้วก็สั่งให้กลับไป และยังบอกอีกว่าอย่ามาบ่อย แม้ว่าไม่อยู่ในวิสัยที่จะสร้างความเสีย                              หายต่อกันได้แล้วแต่ก็อาจเป็นเหตุให้การปฏิบัติล่าช้าได้ ซึ่งในครั้งสุดท้ายที่ดวงวิญญาณนี้มาพบเกิดขึ้นหลังจากที่หลวงปู่มั่นบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นเอง                                    ดวงวิญญาณกล่าวกับหลวงปู่มั่นในวันนั้นว่า ในคืนที่ท่านตัดขาดภพชาติและทุกข์ทั้งปวงจนรู้กันไปทั่วทุกแห่งหนในโลกธาตุ แต่แทนที่จะชื่นชมยินดีและอนุโมทนา                                    สาธุการ ตนกลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าท่านทิ้งตนโดยไม่เหลียวแล

                      หลวงปู่มั่นจึงสนทนาโต้ตอบกับดวงวิญญาณนั้นด้วยความเมตตา กระทั่งดวงวิญญาณเกิดความเข้าใจจนสามารถสลัดตนให้หลุดจากความห่วงหาอาลัย และลาจากไปใน                          ที่สุด หลังจากนั้นไม่นาน ดวงวิญญาณนั้นได้กลับมาพบหลวงปู่มั่นอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นการกลับมาในร่างของเทวดาผู้งามสง่าที่มาพร้อมกับความสำนึกซาบซึ้งในพระคุณ                        ของหลวงปู่มั่นว่า เหตุที่ตนได้เสวยสุขอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นล้วนเป็นผลมาจากการที่หลวงปู่มั่นมักจะชักชวนให้สร้างบุญสร้างกุศลตลอดระยะเวลาที่ได้ครองคู่อยู่ร่วม                        ภพชาติกันนั่นเอง

                      ก่อนเล่าเรื่องนี้ หลวงตามหาบัวกล่าวว่า แม้จะเป็นเรื่องภายในที่ “อาจารย์” กับ “ลูกศิษย์” บอกกล่าวต่อกันเป็นการส่วนตัว แต่หลวงตามหาบัวเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยว                        เนื่องกับการบรรลุธรรมของหลวงปู่มั่นด้วย ถ้าข้ามไปก็อาจทำให้ขาดเรื่องที่จะเป็นข้อคิดแก่ผู้อ่าน

          ขอขอบคุณเพจ: เรื่องเล่าชาวสยาม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Visitors: 46,199