กับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
พระปุจฉา – วิสัชนาธรรม ระหว่างพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
พระองค์ที่ 19
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช : ทำสมาธิอย่างไร?
สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวัฑฺฒโน) : คือทำใจให้ตั้งมั่น แน่วแน่อยู่ในอารมณ์เดียว จะทำอะไรทุกๆอย่าง
ต้องมีใจเป็นสมาธิ ในทางปฏิบัติจึงต้องใช้สมาธิทั้งนั้น แต่มักมีคนเข้าใจว่า ทำสมาธิต้องนั่งหลับตา
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช : ทำสมาธิมองเห็นภาพต่างๆจริงหรือ
สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวัฑฺฒโน): โดยมากไม่จริง ภาพที่เห็นมักเป็นนิมิต คือ ภาพที่เกิดจากสัญญา
หรือที่เรียกว่า “ภาพอุปาทาน” คือ ได้เคยคิดเคยเห็นมาแล้วเก็บไว้ในใจ ครั้นทำสมาธิ ใจแน่วแน่ สิ่งที่เก็บไว้ในใจนั้น
ก็ปรากฏขึ้นมา เหมือนอย่างที่เห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นเทวดา ถามว่า เทวดารูปร่างอย่างไร ตามคำตอบก็คล้ายกับเทวดาที่ผนังโบสถ์ แต่ที่เป็นจริงก็มี เป็นพวกทิพยจักษุมีน้อย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช : เหมือนอย่างดูของหาย มองเห็น มีพระดูได้
สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวัฑฺฒโน): ถ้ามองเห็น ถูกต้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ต้องรับว่าเป็นจริงเพราะมีข้อพิสูจน์
ในหลวง ร.9: หนังสือสอนพระพุทธศาสนายากเกินไปแก่สมองเด็ก ... ให้เด็กเล็กๆ จำประวัติมากเกินไป
สมเด็จญาณฯ : กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้จัดหลักสูตร
ในหลวง ร.9: อย่างสอนอริยสัจแก่เด็กเล็กๆ เหมือนจะให้เด็กเป็นพระอรหันต์ จะทำให้เด็กเข้าใจได้อย่างไร ...
น่าจะสอนบทธรรมง่ายๆ ที่เป็นประโยชน์ในการอบรมเด็กด้วย เช่น ความเพียร และน่าจะจัดเป็นหลักสูตรสูงขึ้นไป
โดยลำดับ แทรกพุทธประวัติ นิทานชาดก บทสอนศาสนาคฤหัสถ์ได้ มีจัดไว้ทำนองนี้ ... น่าจะทำแจกหรือ
มีจำหน่ายถูกๆ ของกระทรวงก็ปล่อยเป็นส่วนของกระทรวง
สมเด็จญาณฯ : จะนำกระแสพระราชดำรินี้ไปจัดทำ แต่การเขียนเรื่องให้เด็กอ่านนั้น...เขียนแล้วคิดว่าง่าย...
เด็กเข้าใจ ครั้นไปลองสอนกับเด็ก...คือให้เด็กอ่าน เด็กก็ไม่เข้าใจ
ในหลวง ร.9: ถ้าประสงค์จะทดสอบก็ได้ ... เขียนส่งไปให้ทูลกระหม่อม เจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ฯ อ่าน
ถ้าจะทดสอบอายุน้อยกว่านั้นก็ได้
ในหลวง ร.9: การปฏิบัติตนให้เหมาะเป็นการยาก ต้องทำสองอย่างพร้อมๆ กัน อย่างหนึ่งต้องให้มีภาคภูมิ
อีกอย่างต้องให้สุภาพ มิให้เป็นหยิ่งหรือที่เรียกกันว่า "เบ่ง" และในสมัยประชาธิปไตยก็ต้องให้เหมาะสม...
เข้ากันได้กับประชาชน
สมเด็จญาณฯ : ตามที่ได้ฟัง...ได้ยินแต่เสียงชื่นชมในพระบารมี
ในหลวง ร.9: ต้องคอยสังเกตเป็นบทเรียนและแก้ไขเรื่อยมา เมื่อคราวเสด็จภาคอีสาน วันหนึ่งเหนื่อยมาก...
หน้าบึ้ง กลับที่พักแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ราษฎรได้มีโอกาสเห็นเราเพียงครั้งเดียว ให้เขาเห็นหน้าบึ้งไม่ดี ต่อจากนั้น
ถึงจะเหนื่อยมากก็ต้องพยายามไม่ทำหน้าบึ้ง ต้องทำชื่นบาน
--------------------------
ในหลวง ร.9: เมื่อคราวเสด็จทางภาคใต้ วันหนึ่งไม่สบาย แต่ถ้างด...ไม่ไป...ก็จะเสียหาย ... ต้องไป
ครั้นไปแล้วกลับมาก็สบายดี ... จะเป็นเพราะกำลังใจใช่ไหม?
สมเด็จญาณฯ : (ทูลรับ แล้วทูลว่า) ฝึกบ่อยๆ กำลังใจจะมากยิ่งขึ้น
ในหลวงร.9 : "หายตัว" เป็นจริง...หรือเป็นการสะกดจิตไม่ให้เห็น?
สมเด็จญาณฯ : อาจเป็นการสะกดจิต ... แต่การล่องหนทะลุกำแพงออกไป ถ้าเป็นจริงก็จะต้องทำตัวอย่างไร
ให้เล็ดลอดออกไปได้
ในหลวง ร.9: มีในพระพุทธศาสนาหรือเปล่า?
สมเด็จญาณฯ : มีแสดงไว้ แต่ไม่ใช่พระพุทธศาสนาโดยตรง ... มีแสดงไว้ก่อนในตำรับทางพราหมณ์
ในหลวง ร.9: แต่มีแสดงไว้ในพระพุทธศาสนาด้วย?
สมเด็จญาณฯ : (ทูลรับพระราชดำรัส)
ในหลวง ร.9: อยู่ในที่นี้แล้วสะกดจิตคนที่อยู่ในที่อื่นได้ไหม?
สมเด็จญาณฯ : เคยพบแต่ที่แสดงไว้ว่าอยู่ในที่เดียวกัน
ในหลวง ร.9: พระเครื่องคุ้มกันได้จริงไหม? ... คุ้มกันได้เพราะใจเชื่อมั่นว่ามีพระเครื่องอยู่กับตัวหรืออย่างไร?
สมเด็จญาณฯ : เป็นเครื่องทำให้ใจเชื่อมั่น
ในหลวง ร.9: ถ้าใจเชื่อมั่นแล้วก็ไม่จำเป็นหรือ?
สมเด็จญาณฯ : ไม่จำเป็น ... แต่ก็มีเชื่อกันว่า พระเครื่องให้อยู่คงจริง คือ ผู้ที่มีอยู่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม
หรือมิได้คำนึงถึง แต่พระเครื่องก็คงคุ้มกันผู้ที่ไม่เชื่อก็มี
ในหลวง ร.9: ก็เชื่อ ... มีคนให้...รับมาไว้ เขาก็ยินดี ... แต่วันนี้ไม่ได้ติดมา